เปิดเตาหลอม! ไขปริศนา “ค่าหลอม” คืออะไร? ทำไมขายทองบางครั้งร้านถึงหักค่านี้

ค่าหลอม คืออะไร ทำไมขายทองร้านถึงหักค่านี้

เคยเจอโมเมนต์นี้ไหม? กำสร้อยคอทองคำเส้นเก่าที่ไม่ได้ใส่แล้วไปที่ร้านทอง เช็กราคาทองหน้าเว็บมาอย่างดี คำนวณในใจว่าน่าจะได้เงินก้อนโต แต่พอพนักงานตีราคาให้กลับต้องอุทานในใจว่า “ทำไมเงินหายไปเยอะจัง!” พร้อมกับคำอธิบายสั้นๆ ว่า “ต้องหักค่าหลอมค่ะ” คำถามที่ตามมาทันทีก็คือ “ค่าหลอม” คืออะไร? ทำไมขายทองบางครั้งร้านถึงหักค่านี้ มันคือค่าอะไรกันแน่ ทำไมต้องหัก แล้วเงินที่หักไปมันหายไปไหน? วันนี้เราจะมาสวมบทเป็นช่างทองจำเป็น เปิดประตูเข้าไปหลังร้านเพื่อดูให้เห็นกับตาว่าเบื้องหลังคำว่า “ค่าหลอม” นั้นมีกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และต้นทุนที่ซับซ้อนซ่อนอยู่

เมื่อเครื่องประดับกลายร่างเป็นวัตถุดิบ

สิ่งแรกที่ต้องปรับความเข้าใจกันใหม่ทั้งหมดคือสถานะของทองรูปพรรณในวันที่คุณซื้อมันมา กับวันที่คุณนำมันกลับไปขายนั้นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

วันที่คุณซื้อ สร้อยคอทองคำเส้นนั้นมีสถานะเป็น “เครื่องประดับ” หรือ “งานฝีมือ” ราคาที่คุณจ่ายไปประกอบด้วยสองส่วนหลักคือ

  1. ค่าเนื้อทอง ตามน้ำหนักและราคาทอง ณ วันนั้น
  2. ค่ากำเหน็จ ซึ่งก็คือค่าแรง, ค่าฝีมือ, ค่าออกแบบลวดลาย, และค่าการตลาดของแบรนด์

แต่ในวันที่คุณนำมันกลับไปขายคืน โดยเฉพาะในสภาพที่ชำรุด, เก่า, หรือเป็นลายที่ตกยุคไปแล้ว สถานะของมันจะเปลี่ยนไปทันที ในสายตาของร้านทอง มันไม่ใช่เครื่องประดับอีกต่อไป แต่เป็นเพียง “วัตถุดิบ” หรือ “เศษทอง” ก้อนหนึ่งที่ต้องถูกส่งกลับไปรีไซเคิลเพื่อสร้างชีวิตใหม่ และการจะเปลี่ยนเครื่องประดับที่ผ่านการใช้งานมาแล้วให้กลับไปเป็นทองคำบริสุทธิ์เพื่อผลิตชิ้นงานใหม่ได้นั้น ต้องผ่านกระบวนการที่เรียกว่า “การหลอม” ซึ่งมีต้นทุนที่มองไม่เห็นซ่อนอยู่มากมาย และนี่คือที่มาของคำตอบว่า ทำไมขายทองบางครั้งร้านถึงหักค่านี้

เจาะลึกกระบวนการหลอมทอง

เจาะลึกกระบวนการหลอมทอง

การหลอมทองไม่ใช่แค่การเอาไฟมาลน แต่มันคือกระบวนการทางโลหะวิทยาที่ต้องใช้อุณหภูมิสูงกว่า 1,064 องศาเซลเซียส เพื่อเปลี่ยนทองคำจากของแข็งให้กลายเป็นของเหลว และแยกสิ่งเจือปนออกไป

กระบวนการจะเริ่มต้นจากการนำทองรูปพรรณเก่าๆ ทั้งหมดมาใส่ใน “เบ้าหลอม” (Crucible) ซึ่งเป็นถ้วยทนไฟที่ทำจากกราไฟต์หรือเซรามิก จากนั้นจะถูกนำเข้าเตาหลอมที่ให้ความร้อนสูงจัด เมื่อทองเริ่มหลอมละลายเป็นของเหลวสีส้มแดง ช่างทองจะใส่สารเคมีที่เรียกว่า “ฟลักซ์” (Flux) เช่น บอแรกซ์ ลงไป สารนี้จะทำหน้าที่เหมือนแม่เหล็กที่คอยดูดจับสิ่งสกปรกและโลหะเจือปนอื่นๆ ให้ลอยขึ้นมาบนผิวหน้าของน้ำทองเป็นตะกรัน (Dross) ซึ่งช่างจะสามารถตักออกไปได้ ทำให้ทองคำที่เหลืออยู่มีความบริสุทธิ์สูงขึ้น ก่อนจะเทลงแม่พิมพ์เพื่อให้แข็งตัวเป็นก้อนหรือแท่งต่อไป

ถอดรหัส “ค่าหลอม” ประกอบด้วยอะไรบ้าง

เมื่อเห็นภาพกระบวนการแล้ว เราก็จะเข้าใจได้ทันทีว่า “ค่าหลอม” คืออะไร มันไม่ใช่ค่าธรรมเนียมที่ตั้งขึ้นมาลอยๆ แต่มันคือการรวบรวมต้นทุนที่เกิดขึ้นจริงในกระบวนการคืนชีพทองเก่า ซึ่งประกอบไปด้วย

  • การสูญเสียน้ำหนักที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ นี่คือต้นทุนที่ใหญ่ที่สุดและเป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่ไม่เคยรู้ ในการผลิตทองรูปพรรณที่มีข้อต่อหรือลวดลายซับซ้อน ช่างทองจำเป็นต้องใช้ “น้ำประสานทอง” ซึ่งเป็นโลหะผสมที่มีส่วนผสมของเงิน, ทองแดง, หรือสังกะสี เพื่อใช้เป็นตัวเชื่อมให้ชิ้นส่วนต่างๆ ติดกัน ตอนที่คุณซื้อทอง น้ำหนักของน้ำประสานทองนี้จะถูกนับรวมอยู่ในน้ำหนักรวมทั้งหมด แต่เมื่อนำไปผ่านความร้อนสูงกว่าพันองศา โลหะที่เป็นส่วนผสมในน้ำประสานทองเหล่านี้ส่วนหนึ่งจะถูกเผาไหม้และระเหยหายไปในอากาศ ทำให้น้ำหนักทองที่ได้หลังจากการหลอม “น้อยกว่า” น้ำหนักเดิมเสมอ นี่คือการสูญเสียที่เกิดขึ้นจริงและเป็นต้นทุนหลักที่ร้านทองต้องแบกรับ
  • ต้นทุนการดำเนินงานในกระบวนการหลอม การหลอมทองแต่ละครั้งมีค่าใช้จ่ายเกิดขึ้นจริง ทั้งค่าไฟฟ้าหรือค่าแก๊สสำหรับเตาหลอมที่ใช้พลังงานมหาศาล, ค่าเบ้าหลอมและอุปกรณ์ที่เสื่อมสภาพไปตามการใช้งาน, และค่าสารเคมีต่างๆ ที่ใช้ในการทำให้ทองบริสุทธิ์
  • ค่าแรงของผู้เชี่ยวชาญ การทำงานกับโลหะหลอมเหลวที่ร้อนจัดเป็นงานที่ต้องใช้ทักษะ ความชำนาญ และความระมัดระวังสูงสุด ไม่ใช่ใครก็ทำได้ ค่าแรงของช่างทองผู้ชำนาญการจึงเป็นอีกหนึ่งต้นทุนที่รวมอยู่ในค่าหลอม
  • ความเสี่ยงในการดำเนินงาน ทุกกระบวนการมีความเสี่ยง ทั้งความเสี่ยงต่ออุบัติเหตุ และความเสี่ยงจากการสูญเสียเนื้อทองไปในกระบวนการที่มากกว่าปกติหากมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้น

ด้วยเหตุผลทั้งหมดนี้ ร้านทองจึงจำเป็นต้องหักค่าใช้จ่ายส่วนนี้ไว้ ซึ่งตามประกาศของสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ได้กำหนดเพดานการหักไว้สูงสุดไม่เกิน 5% ของราคารับซื้อ “ทองคำแท่ง” ในวันนั้นๆ เพื่อเป็นมาตรฐานและคุ้มครองผู้บริโภคไม่ให้ถูกเอาเปรียบเกินควร

แล้วทำไมขายทองบางครั้งถึงไม่โดนหัก

แล้วทำไมขายทองบางครั้งถึงไม่โดนหัก?

มาถึงอีกหนึ่งคำถามคาใจว่า ทำไมขายทองบางครั้งร้านถึงหักค่านี้ แต่บางครั้งก็ไม่หักเลย? คำตอบอยู่ที่ “สถานะ” ของทองที่คุณนำไปขายนั่นเอง

กรณีที่ไม่โดนหัก (หรือหักน้อยมาก)

  • การขายคืนทองคำแท่ง ทองคำแท่งถือเป็น “สินค้าเพื่อการลงทุน” ที่มีสถานะเป็นวัตถุดิบอยู่แล้ว มันถูกออกแบบมาให้ซื้อขายเปลี่ยนมือได้ง่ายโดยไม่ต้องผ่านกระบวนการหลอมใหม่ ร้านทองที่รับซื้อสามารถนำไปวางขายต่อหรือส่งคืนผู้ผลิตได้ทันที จึงไม่มีต้นทุนในส่วนของการหลอมเกิดขึ้น ทำให้คุณสามารถขายคืนได้ในราคาเต็มตามราคารับซื้อคืนทองคำแท่งที่ประกาศเลย
  • การขายคืนทองรูปพรรณสภาพดีที่ร้านเดิม หากคุณนำสร้อยคอที่ยังอยู่ในสภาพสวยงามสมบูรณ์กลับไปขายที่ร้านเดิมที่ซื้อมา บางครั้งร้านอาจจะรับซื้อคืนโดยหักค่าหลอมน้อยกว่า 5% หรืออาจจะไม่หักเลย เหตุผลก็เพราะร้านอาจจะไม่ได้ตั้งใจจะนำทองเส้นนั้นไปหลอม แต่จะนำไปทำความสะอาดเล็กน้อยแล้ววางขายต่อเป็น “สินค้ามือสอง” หรือ “ทองเก่าสภาพดี” ในราคาที่ถูกกว่าของใหม่ได้ ซึ่งวิธีนี้ทำให้ร้านได้กำไรมากกว่าการนำไปหลอม

กรณีที่โดนหักแน่นอน

  • การขายทองรูปพรรณที่ชำรุด เสียหาย หรือเก่ามาก ทองในสภาพนี้ไม่สามารถนำไปขายต่อเป็นสินค้ามือสองได้อีกแล้ว ทางเลือกเดียวของร้านทองคือต้องส่งไปหลอมเท่านั้น ดังนั้นจึงต้องมีการหักค่าหลอมตามมาตรฐาน
  • การขายทองรูปพรรณข้ามร้าน เมื่อคุณนำทองที่ซื้อจากร้าน A ไปขายที่ร้าน B ร้าน B ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องส่งทองเส้นนั้นไปหลอม เพราะเขาไม่สามารถนำสินค้าที่มีโลโก้ของร้านคู่แข่งมาวางขายในร้านของตัวเองได้ ดังนั้นจึงต้องมีการหักค่าหลอมเสมอ
  • การขายทองเปอร์เซ็นต์ต่ำ หรือทอง K เช่น กรอบพระทอง 90, แหวน 18K, หรือเครื่องประดับทองโบราณ ทองเหล่านี้มีโลหะอื่นเจือปนในสัดส่วนที่สูง การจะสกัดเอาเนื้อทองบริสุทธิ์ออกมาต้องผ่านกระบวนการหลอมและสกัดที่ซับซ้อน จึงจำเป็นต้องมีการหักค่าใช้จ่ายในส่วนนี้

การทำความเข้าใจบริบทเหล่านี้จะทำให้คุณเห็นภาพชัดเจนขึ้นว่า “ค่าหลอม” คืออะไร? ทำไมขายทองบางครั้งร้านถึงหักค่านี้ ซึ่งทั้งหมดล้วนมีเหตุผลทางธุรกิจและกระบวนการทางเทคนิครองรับอยู่ ไม่ใช่การตั้งกฎขึ้นมาเพื่อเอาเปรียบผู้บริโภคแต่อย่างใด