โทร 095-643-3378
หมุนเงินด่วน! “ขายฝากทอง” ที่ร้านทองคืออะไร? ต่างจากการจำนำที่โรงรับจำนำอย่างไร

ในยามที่ต้องการเงินสดหมุนเวียนด่วนๆ ทองคำในมือคือเพื่อนแท้ที่พึ่งพาได้เสมอ แต่เมื่อเดินไปถึงทางแยก หลายคนกลับต้องยืนงงว่าจะเลี้ยวซ้ายไป “โรงรับจำนำ” หรือเลี้ยวขวาเข้า “ร้านทอง” ดี เพราะทั้งสองแห่งต่างก็มีบริการที่ดูเผินๆ แล้วคล้ายกัน แต่ในความเป็นจริงแล้ว “การจำนำ” กับ “การขายฝาก” นั้นแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว ทั้งในแง่ของกฎหมาย, กรรมสิทธิ์, อัตราดอกเบี้ย, และผลลัพธ์สุดท้ายหากคุณผิดนัดชำระ การทำความเข้าใจให้ถึงแก่นว่า “ขายฝากทอง” ที่ร้านทองคืออะไร? ต่างจากการจำนำที่โรงรับจำนำอย่างไร คือเข็มทิศที่จะนำทางให้คุณเลือกใช้บริการได้อย่างถูกต้องและไม่เสียเปรียบ
จุดต่างชี้เป็นชี้ตาย กรรมสิทธิ์ (Ownership)
นี่คือความแตกต่างที่สำคัญที่สุดและเป็นหัวใจของเรื่องทั้งหมดที่คุณต้องจำให้ขึ้นใจ เพราะมันส่งผลต่อทุกสิ่งที่จะตามมา
การจำนำ กรรมสิทธิ์ยังเป็นของคุณ
เมื่อคุณนำทองไป “จำนำ” ที่โรงรับจำนำ ไม่ว่าจะเป็นของรัฐหรือเอกชน คุณกำลังนำทองคำไปวางเป็น “หลักประกัน” ในการกู้ยืมเงินเท่านั้น
- สถานะของทอง ทองยังคงเป็น “ของคุณ” 100% โรงรับจำนำเป็นเพียง “ผู้ครอบครอง” ทรัพย์สินของคุณไว้ชั่วคราวเท่านั้น
- กฎหมายที่ควบคุม อยู่ภายใต้พระราชบัญญัติโรงรับจำนำ พ.ศ. 2505 ซึ่งมีกฎระเบียบที่คุ้มครองผู้บริโภคอย่างเข้มงวด
การขายฝาก กรรมสิทธิ์โอนไปทันที
ในทางกลับกัน เมื่อคุณนำทองไป “ขายฝาก” ที่ร้านทอง คุณกำลังทำ “สัญญาซื้อขาย” ที่มีเงื่อนไขพิเศษ
- สถานะของทอง กรรมสิทธิ์หรือความเป็นเจ้าของในทองคำจะ “โอนไปยังร้านทองทันที” ตั้งแต่วินาทีที่คุณเซ็นสัญญาและรับเงินสดไป คุณไม่ได้เป็นเจ้าของทองชิ้นนั้นอีกต่อไปแล้ว แต่คุณได้รับ “สิทธิ์ในการซื้อคืน” (Right of Redemption) ภายในระยะเวลาที่ตกลงกันไว้
- กฎหมายที่ควบคุม อยู่ภายใต้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และพระราชบัญญัติคุ้มครองประชาชนในการทำสัญญาขายฝากฯ พ.ศ. 2562
การทำความเข้าใจประเด็นเรื่องกรรมสิทธิ์นี้ คือจุดเริ่มต้นของการวิเคราะห์ว่า “ขายฝากทอง” ที่ร้านทองคืออะไร? ต่างจากการจำนำที่โรงรับจำนำอย่างไร
ศึกดอกเบี้ย คิดกันคนละแบบ
เรื่องเงินๆ ทองๆ คือประเด็นต่อมาที่ทุกคนอยากรู้ ทั้งสองวิธีมีวิธีการคำนวณ “ผลประโยชน์ตอบแทน” หรือที่เรียกติดปากว่าดอกเบี้ยแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ดอกเบี้ยจำนำ คิดแบบขั้นบันได
โรงรับจำนำจะคิดอัตราดอกเบี้ยเป็นรายเดือน โดยมีเพดานตามที่กฎหมายกำหนด ซึ่งมักจะเป็นอัตราแบบขั้นบันได
- สำหรับเงินต้นไม่เกิน 2,000 บาท จะคิดดอกเบี้ยในอัตราสูงสุดไม่เกิน 2% ต่อเดือน
- สำหรับเงินต้นส่วนที่เกิน 2,000 บาทขึ้นไป จะคิดดอกเบี้ยในอัตราสูงสุดไม่เกิน 1.25% ต่อเดือน
ตัวอย่าง ถ้าคุณจำนำทองได้เงินต้น 10,000 บาท
- ดอกเบี้ยของ 2,000 บาทแรก คือ 2,000 x 2% = 40 บาท
- ดอกเบี้ยของ 8,000 บาทที่เหลือ คือ 8,000 x 1.25% = 100 บาท
- รวมดอกเบี้ยที่คุณต้องจ่ายในเดือนนั้นคือ 40 + 100 = 140 บาท
ดอกเบี้ยขายฝาก คิดแบบอัตราเดียว
ส่วนการขายฝากทองที่ร้านทองนั้น กฎหมายกำหนดเพดานผลประโยชน์ตอบแทนไว้สูงสุดที่ ไม่เกิน 15% ต่อปี หรือเมื่อคิดเป็นรายเดือนก็คือ 1.25% ต่อเดือน โดยจะคิดจากเงินต้นทั้งก้อนในอัตราเดียว ไม่มีการแบ่งเป็นขั้นบันได
ตัวอย่าง ถ้าคุณขายฝากทองได้เงินต้น 10,000 บาท
- ดอกเบี้ยที่คุณต้องจ่ายในเดือนนั้นคือ 10,000 x 1.25% = 125 บาท
จะเห็นได้ว่าสำหรับเงินต้นก้อนเดียวกัน การขายฝากอาจจะมีภาระดอกเบี้ยที่ต่ำกว่าเล็กน้อย

วงเงินที่ได้รับ ใครให้สูงกว่ากัน
โดยทั่วไปแล้ว การขายฝากที่ร้านทองมักจะให้วงเงินที่สูงกว่า การจำนำที่โรงรับจำนำ สำหรับทองชิ้นเดียวกัน เหตุผลก็มาจากเรื่องความเสี่ยงและกรรมสิทธิ์ที่กล่าวไปข้างต้นนั่นเอง
- โรงรับจำนำ ต้องแบกรับความเสี่ยงที่มากกว่า เพราะหากคุณผิดนัด ทองยังไม่ตกเป็นของเขาทันที ยังมีกระบวนการทางกฎหมายที่ต้องทำต่อ พวกเขาจึงมักจะประเมินราคาและให้วงเงินในเปอร์เซ็นต์ที่ค่อนข้างระมัดระวัง
- ร้านทอง มีความเสี่ยงต่ำกว่ามาก เพราะทันทีที่คุณผิดนัดไถ่ถอน ทองชิ้นนั้นจะตกเป็นกรรมสิทธิ์ของร้านโดยสมบูรณ์ทันที เขาสามารถนำทองไปหลอมหรือขายต่อได้เลย ด้วยความเสี่ยงที่น้อยกว่านี้เอง ร้านทองจึงมักจะกล้าให้วงเงินที่สูงกว่า อาจจะอยู่ที่ 70-90% ของราคาประเมินทองรูปพรรณในวันนั้นๆ
บทลงโทษเมื่อผิดนัด สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อไปไถ่ไม่ทัน
นี่คืออีกหนึ่งความแตกต่างสุดขั้วที่คุณต้องรู้ เพราะมันคือผลลัพธ์สุดท้ายหากคุณไม่สามารถหาเงินมาไถ่ถอนได้ทันตามกำหนด
กรณีจำนำ ทรัพย์หลุดจำนำ
- สถานะ เมื่อครบกำหนดและพ้นระยะเวลาผ่อนผัน (ปกติคือ 30 วัน) ทองของคุณจะกลายเป็น “ทรัพย์หลุดจำนำ”
- กระบวนการ โรงรับจำนำ “ยังไม่” สามารถนำทองไปทำอะไรได้ทันที เขาต้องปฏิบัติตามกฎหมายคือแจ้งให้คุณทราบ และจากนั้นอาจจะนำทรัพย์สินออกขายทอดตลาด
- โอกาสได้เงินคืน จุดสำคัญที่สุดคือ หากโรงรับจำนำขายทองของคุณได้ในราคาที่ “สูงกว่า” หนี้สินที่คุณมี (เงินต้นรวมดอกเบี้ย) ตามกฎหมายแล้ว คุณมีสิทธิ์ที่จะได้รับเงินส่วนต่างนั้นคืน
กรณีขายฝาก กรรมสิทธิ์ตกเป็นของร้านโดยเด็ดขาด
- สถานะ เมื่อครบกำหนดเวลาไถ่ถอนตามที่ระบุไว้ในสัญญาแม้เพียงวันเดียว และคุณยังไม่ไปไถ่ถอน
- กระบวนการ กรรมสิทธิ์ในทองคำจะตกเป็นของร้านทอง “โดยสมบูรณ์และเด็ดขาด” ทันที ร้านทองสามารถนำทองชิ้นนั้นไปหลอม, วางขายหน้าร้าน, หรือทำอะไรก็ได้ตามที่เขาต้องการ
- ไม่มีเงินส่วนต่าง ไม่ว่าร้านจะนำทองไปขายต่อได้กำไรเท่าไหร่ คุณจะไม่มีสิทธิ์ในเงินส่วนนั้นอีกต่อไป ถือว่าสัญญาซื้อขายสิ้นสุดลงโดยสมบูรณ์
ความเข้าใจในประเด็นนี้ คือส่วนที่สำคัญที่สุดในการตอบคำถามว่า “ขายฝากทอง” ที่ร้านทองคืออะไร? ต่างจากการจำนำที่โรงรับจำนำอย่างไร เพราะมันคือผลลัพธ์สุดท้ายที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ระยะเวลาไถ่ถอน ใครให้เวลานานกว่า
- การจำนำ โดยทั่วไปแล้ว ตั๋วจำนำจะมีอายุ 4 เดือน และมีระยะเวลาผ่อนผันให้อีก 30 วัน ซึ่งคุณสามารถไปจ่ายเฉพาะดอกเบี้ยเพื่อต่ออายุตั๋วไปได้เรื่อยๆ
- การขายฝาก ระยะเวลาไถ่ถอนจะขึ้นอยู่กับการตกลงกันในสัญญา ซึ่งอาจจะเป็น 1 เดือน, 3 เดือน, หรือ 6 เดือน แต่ตามกฎหมายแล้ว สำหรับสังหาริมทรัพย์ (เช่น ทองคำ) จะกำหนดระยะเวลาไถ่ถอนไว้ได้ไม่เกิน 3 ปี

บทสรุป ควรเลือกทางไหนดี
เมื่อรู้ถึงความแตกต่างในทุกมิติแล้ว การจะเลือกว่าทางไหนดีกว่ากันนั้น ไม่มีคำตอบที่ตายตัว แต่ขึ้นอยู่กับสถานการณ์และความต้องการของคุณ
เลือก “จำนำ” ที่โรงรับจำนำ เมื่อ
- คุณต้องการเงินสดในจำนวนไม่มาก (เพราะดอกเบี้ย 2,000 บาทแรกจะสูงกว่า)
- คุณให้ความสำคัญกับความปลอดภัยและต้องการการคุ้มครองผู้บริโภคที่เข้มงวด
- คุณต้องการความยืดหยุ่นในการต่ออายุสัญญาไปเรื่อยๆ
- คุณยอมรับวงเงินที่อาจจะต่ำกว่า แต่ก็สบายใจว่าหากหลุดจำนำแล้วยังมีโอกาสได้เงินส่วนต่างคืน
เลือก “ขายฝาก” ที่ร้านทอง เมื่อ
- คุณต้องการวงเงินที่สูงที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้จากทองที่คุณมี
- คุณมั่นใจ 100% ว่าจะสามารถหาเงินมาไถ่ถอนคืนได้ทันตามกำหนดเวลาในสัญญาอย่างแน่นอน
- คุณยอมรับความเสี่ยงที่ว่าหากผิดนัดแม้แต่วันเดียว ทองชิ้นนั้นจะหลุดลอยไปตลอดกาล
- คุณต้องการความรวดเร็วและสะดวกสบายในการทำธุรกรรมกับร้านทองที่คุ้นเคย
ท้ายที่สุดแล้ว การเลือกทางเดินระหว่างการจำนำและการขายฝาก ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าทางไหนดีกว่า แต่คือการประเมินสถานการณ์ทางการเงินและความเสี่ยงของตนเอง เพื่อเลือกใช้เครื่องมือที่เหมาะสมกับเป้าหมายเฉพาะหน้าได้อย่างชาญฉลาดที่สุด
